ประวัติการปลูกปาล์มน้ำมันของไทย
ปาล์มน้ำมัน เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ยืนต้น
อายุยืนยาวกว่า 100 ปี
แต่ที่ปลูกเป็นการค้าอายุประมาณ 25-30 ปี
ก็จะถูกโค่นทิ้ง
เนื่องจากให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า
พระยาประดิพัทธ์ภูบาล
ได้นำปาล์มน้ำมันเข้ามาปลูกในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2472
โดยปลูกเป็นไม้ประดับที่สถานีทอลองยางคอหงส์
จังหวัดสงขลา และสถานีกสิกรรมพลิ้ว
จังหวัดจันทบุรี
แต่เริ่มมีการส่งเสริมให้ปลูกเป็นพื้นที่ใหญ่จริงๆในปี พ.ศ.2511 ที่นิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้จังหวัดสตูล พื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่ จากนั้น
มีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2552 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันทั้งสิ้น
3.95 ล้านไร่ ผลผลิตปาล์มสดทั้งทะลาย 8.16
ล้านต้น
ข้อพิจารณาในการปลูกปาล์มน้ำมัน
การเริ่มต้นปลูกปาล์มน้ำมันที่ดีควรมีการเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมเลือกพันธุ์ดี มีการบำรุงรักษาที่ถูกต้อง
สิ่งสำคัญในการเลือกพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน คือ
ต้องพิจารณาถึงสภาพภูมิอากาศ
สภาพพื้นที่ลักษณะดิน
รวมถึงการขนส่ง
- สภาพภูมิอากาศ
อุณหภูมิที่เหมาะสมในการปลูกปาล์มน้ำมันอยู่ในช่วง
20-30 c
ปริมาณแสงแดดอย่างน้อยวันละ 5
ชั่วโมง และมีความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ
ในรอบปีไม่ต่ำกว่า 75 % มีการกระจายของน้ำฝนสม่ำเสมอ
ประมาณ 1,800-2,000 มิลลิตรต่อปี
ต้องไม่มีสภาพแล้งเกิน 3 เดือนและไม่มีลมพายุที่รุนแรง
- สภาพพื้นที่
สภาพดินที่เหมาะสม คือ
ดินร่วนเหนียวถึงดินเหนียว
มีความลึกของชั้นหน้าดินมากกว่า 75 เซนติเมตร อุ้มน้ำได้ดี
ระดับน้ำใต้ดิรลึก 75-100 เซนติเมตร
มีธาตุอาหารสูง มีความเป็นกรดอ่อน
pH
4.0-6.0 สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร มีความลาดชันไม่เกิน 12% พื้นที่ไม่มีน้ำท่วมขัง มีการระบายน้ำดีถึงปานกลาง
- การขนส่ง
การขนส่งผลผลิตทะลายปาล์มน้ำมันสู่โรงงานมีความสำคัญมาก
เนื่องจากจำเป็นต้องส่งทะลายปาล์มน้ำมันเข้าสู่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มอย่างรวดเร็ว (ไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมง)
จึงควรปลูกปาล์มน้ำมันห่างจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มไม่เกิน 120 กิโลเมตรและมีการคมนาคมขนส่งได้สะดวก
- พันธุ์
พันธุ์ที่แนะนำให้ปลูกเปฌนการค้าในปัจจุบัน
คือ พันธุ์เทเนอรา (Tenera)
เป็นพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ดูรากับพันธุ์ฟิสิเฟอรา ใช้พันธุ์ดุร่าเป็นพันธุ์แม่ และพันธุ์พิสิเฟอราเป็นพันธุ์พ่อ พันธุ์เทเนอรามีกะลาบาง (0.5
– 4
มิลลิเมตร ) และมีน้ำมันต่อน้ำหนักทะลายประมาณร้อนละ 22-25
มีทะลายดกกว่าพันธุ์ดูรา
เนื่องจากพันธุ์เทเนอรามีคุณสมบัติ
คือ มีกะลาบาง
ได้น้ำมันจากส่วนเปลือกนอกมากกว่าพันธุ์ดูราประมาณร้อยละ 25
จึงมักนิยมปลูกเป็นการค้า
ลักษณะผลดิบสีดำเมื่อสุกเปลือกนอกมีสีส้มแดง กะลาบางให้น้ำมันสูง ผลดิบสีเขียว เมื่อสุกเปลือกนอกมีสีส้ม
-
การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของพันธุ์เทเนอรา
ปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี จะให้ผลผลิตสูง มีคุณภาพดี
ให้ผลผลิตสม่ำเสมอตลอดปี
ขายได้ราคาดี
เป็นที่ต้องการของโรงงาน
พันธุ์ปาล์มน้ำมันคุณภาพต่ำ
(พันธุ์ไม่ดี)
เมล็ดพันธุ์หรือต้นกล้าปาล์มน้ำมันคุณภาพต่ำได้จากการผสมระหว่างพ่อและแม่พันธุ์ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกสายพันธุ์ หรือได้จากการผสมพันธุ์แบบไม่มีการควบคุมการผสมพันธุ์ เช่น
ต้นกล้าที่งอกบริเวณใต้โคนต้น
- ลักษณะของพันธุ์คุณภาพต่ำ
แบบที่ 1
ต้นแม่ ต้นพ่อ
เทเนอรา (Tenera) x
เทเนอรา (Tenera)
ดูรา (Dura) เทเนอรา (Tenera) พิสิเฟอรา (Pisifera)
25% 50% 25%
แบบที่
2
ต้นพ่อหรือแม่ ต้นพ่อหรือแม่
ดูรา (Dura) x เทเนอรา (Tenera)
ดูรา (Dura) เทเนอรา (Tenera)
50% 50%
หรือ พิสิเฟอรา
(Pisifera) x เทเนอรา (Tenera)
พิสิเฟอรา (Pisifera) เทเนอรา (Tenera)
50% 50%
ความเสียหายเมื่อปลูกปาล์มน้ำมันคุณภาพต่ำ คือ ผลผลิตทะลายปาล์มสดลดลง 15-50% และน้ำมันปาล์มดิบลดลง
ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี
1.
เป็นปาล์มน้ำมันพันธุ์ลูกผสมเทเนอรา
(DxP)
2.
ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีหนังสือรับรองพันธุ์จากทางราชการ
3.
เลือกต้นที่สมบูรณ์ ลักษณะดี
ไม่มีอาการผิดปกติ
4.
มีข้อมูลเบื้องต้นในด้านการผลผลิตที่ดี และสม่ำเสมอ
5.
มีประวัติพันธุ์ (Breeding Programe) อย่างชัดเจน
6.
มีแหล่งที่ผลิต (ที่มา) ของเมล็ดพันุ์ที่เชื่อถือได้
7.
ต้นกล้าปาล์มน้ำมันควรมีอายุหรือขนาดเหมาะสมตามความต้องการ
ของเกษตรกร เช่น
ถ้าปลูกทันทีควรมีอายุ 8-12 เดือน
ถ้าซื้อต้นกล้าเล็กเพื่อนำไปปลูกดูแลก่อนควรซื้อถุงขนาดเล็กที่มีอายุกล้า 2-4
เดือน
- แหล่งปาล์มพันธุ์ดี
การเลือกซื้อปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี ควรพิจารณาปฏิบัติตามลำดับดังนี้
1. ซื้อจากกรมวิชาการเกษตร
หรือจากบริษัทที่กรมวิชาการเกษตรรับรองว่าเป็นแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้
2. ซื้อจากผู้จำหน่ายพันธุ์ที่มีแหล่งที่เคยจำหน่ายให้ส่วนราชการมาก่อน หรือซื้อจากบริษัทที่ทางราชการรับรอง
3.
ซื้อจากผู้จำหน่ายพันธุ์ที่มีพื้นที่ปลูกและโรงงานอยู่ในพื้นที่อย่างมั่นคงถาวรเป็นการยืนยันว่ามีบริการหลังการขายหรือมีจุดรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรอย่างต่อเนื่องได้
4. ซื้อจากบริษัท หรือผู้ค้าพันธุ์ปาล์มน้ำมัน
ที่กระทำเป็นอาชีพโดยมีนักวิชาการเกษตรควบคุมการปฏิบัติอย่างถูกหลักวิชาการและมีการรับรองหรือประกันคุณภาพพันธุ์ปาล์มน้ำมันเป็นลายลักษณ์อักษร
5.
ในกรณีที่ไม่สามารถหาซื้อได้ตามข้อ 1-4
ควรสอบถามจากเพื่อนบ้านที่ปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตแล้ว
ว่าซื้อมาจากแหล่งใดแล้วพิจารณาตามข้อสังเกตในการคัดเลือกซื้อปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี
6.
เกษตรกรควรขอหนังสือรับรองพันธุ์จากผู้ขายและเก็บหนังสือรับรองพันธุ์
ตลอดจนเก็บหนังสือสัญญาการซื้อขายหรือใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐาน
อย่างไรก็ดีเกษตรกรที่มีความประสงค์จะปลูกปาล์มน้ำมันควรมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ขณะที่เตรียมพื้นเพาะปลูกควรติดต่อสั่งซื้อพันธุ์ปาล์มน้ำมันไว้ด้วยเพื่อให้ได้ทันเวลาตามต้องการ
การปลูกและการบำรุงรักษา
การเตรียมพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันตั้งแต่บุกเบิกพื้นที่ ปรับสภาพพื้นที่สร้างถนน ทางระบายน้ำ
วางแนวปลูก ปลูก และปลูกซ่อมการจัดระบบต่างๆ ในแปลงปลูกให้เหมาะสม
และปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีจะทำให้ปาล์มน้ำมันสามารถเจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตสูงอย่างต่อเนื่อง
ก่อนปลูกปาล์มน้ำมัน ควรเตรียมการอย่างน้อย 1
ปี
และเตรียมพื้นที่ในช่วงฤดูแล้งประมาณเดือนธันวาคม –
เมษายน โดยโค่นและกำจัดตันไม้ออกจากแปลง
ไถพรวนปรับพื้นที่ให้เรียบร้อยตลอดจนสร้างถนนและทางระบายน้ำไว้ด้วย
การสร้างถนนและทางระบายน้ำ
เป็นสิ่งจำเป็นมากในการจัดการเพื่อใช้ในการเข้าปฏิบัติงานการดูแลรักษาและเก็บผลผลิต ควรพิจารณาดังนี้
1. ถนนใหญ่ ความกว้างประมาณ 6 เมตร
และควรมี 2 สาย
ต่อ 1 แปลงใหญ่
คือ ด้านหน้าและด้านหลังแปลง ควรอยู่ห่างกันประมาณ 1
กิโลเมตร
2.
ถนนเข้าแปลง เชื่อมจากถนนใหญ่
เพื่อขนส่งวัสดุการเกษตรและผลผลิตในสวนปาล์มน้ำมัน ความกว้างประมาณ 4
เมตร ควรห่างกันประมาณ 500
เมตร
3.
ร่องระบายน้ำ
จำเป็นสำหรับพื้นที่ปลูกซึ่งมีสภาพเป็นลุ่มและมีน้ำท่วม ควรทำพร้อมกับการตัดถนน
- การทำร่องระบายน้ำ
ร่องระบายน้ำมี 3
ประเภท คือ
- ร่องระบายน้ำในแปลง ทำทุกๆแถวของปาล์มน้ำมัน
- ร่องระบายน้ำรวม สร้างขนานไปกับถนนเข้าแปลงเชื่อมระหว่างร่องระบายน้ำในแปลงกับร่องระบายน้ำใหญ่
- ร่องระบายน้ำใหญ่ สร้างขนานไปกับถนนใหญ่ รับน้ำจากร่องระบายน้ำรวม และระบายออกสู่แหล่งน้ำอื่นๆ
หลังจากเตรียมพื้นที่ ตัดถนนและทางระบายน้ำแล้ว จึงวางแนวการปลูก
โดยพิจารณาจากความสอดคล้องกับการทำงานการระบายน้ำ ความลาดเทของพื้นที่
ทิศทางของแสงแดดเพื่อให้ปาล์มน้ำมันได้รับแสงแดดมากที่สุดเพื่อให้ใบได้มีกระบวนการสังเคราะห์แสง ระยะปลูกที่เหมาะสมของปาล์มน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญถ้าปลูกห่างหรือถี่เกินไปจะมีผลทำให้ผลผลิตลดลง ควรปลูกปาล์มน้ำมันแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า เพราะใช้ประโยชน์ในที่ดินได้เต็มที่โดยกำหนดแถวหลักเป็นฐานอยู่ในแนวทิศเหนือใต้ แถวที่ใกล้กันจะปลูกกึ่งกลางเป็นระยะยอดของสามเหลี่ยมด้านเท่า และการจัดระยะยอดของสามเหลี่ยมด้านเท่า และการจัดระยะการปลูก 9 x 9 x 9 เมตร เป็นที่นิยมมากที่สุด
เนื่องจากทำให้ต้นปาล์มทุกต้นได้รับแสงมากและผลผลิตที่ได้มีจุดคุ้มทุนและมีรายได้มากที่สุด
- ฤดูปลูก
ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกปาล์มน้ำมัน คือ
ต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม -
มิถุนายน ควรปลูกเมื่อฝนเริ่มตกแล้วเพราะดินจะมีความชื้นเพื่อให้ต้นกล้าได้มีเวลาตั้งตัวในแปลงได้นาน
- หลุมปลูก
= 45 x 45 x 35 เซนติเมตร เป็นรูป ตัวยู
โดยให้จุดที่ปักไม้เป็นจุดข้างใดข้างหนึ่งของหลุมให้เหมือนกันเพื่อจะได้ระยะปลูกที่เป็นระเบียบขุดดินชั้นบนและชั้นล่างแยกกันเมื่อขุดหลุมแล้วควรตากไว้ประมาณ 10 วัน ก่อนนำต้นกล้ามาปลูก
- การปลูก
การเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมันดี
และให้ผลผลิตสูงอายุกล้าที่มีน้อยเกิน
ไปจะทำให้การชะงักการเจริญเติบโตและอ่อนแอต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ สำหรับต้นกล้าที่มีอายุมากเกินไปจะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และตกผลช้าและไม่สะดวกในการขนย้าย
บางครั้งไม่สามารถใช้ต้นกล้าที่มีอายุ
เท่าที่กำหนดได้
เราสามารถแก้ไขได้โดยถ้าต้นกล้าอายุเกิน
12 เดือน
ควรตัดใบบางส่วนทิ้งบ้าง
และระวังอย่าให้รากบอบช้ำจากการขนย้ายมากนัก ก่อนปลูกควรใส่ร็อคฟอสเฟตอัตรา 500 กรัมต่อหลุมและคลุกเคล้าดินกับปุ๋ย เพื่อป้องกันการสัมผัส ของรากโดยตรงจากนั้นนำถุงพลาสติกออกจากต้นปาล์มน้ำมันอย่างระมัดระวังอย่าให้ก้อนดินแตกโดยเด็ดขาดจะทำให้ต้นกล้าชะงักการเจริญเติบโตได้ ควรประคองต้นกล้าอย่างระมัดระวังแล้ววางลงในหลุมปลูกใส่ดินชั้นบนลงก้นหลุมแล้วจึงใส่ดิชั้น ล่างตามลงไป ทั้งนี้เมื่อนำต้นกล้าวางลงในหลุมแล้วจึงอัดดินให้แน่นปลูกเสร็จแล้วโคนต้นกล้าจะอยู่ในระดับดินเดิมของแปลงปลูก
- การปลูกซ่อม
ควรทำการปลูกซ่อมให้เร็วที่สุด หลังจากปลูกลงแปลงจริง
หากมีปัญหาควรสำรองต้นกล้าไว้สำหรับปลูกซ่อมประมาณร้อยละ 5
ของต้นกล้าที่ต้องการใช้ปลูกจริง
สำหรับการปลูกทดแทนต้นที่ตายโรคแมลงทำลายหรือต้นที่มีลักษณะผิดปกติ
ภายหลังการปลูกโดยดูแลรักษาต้นกล้าไว้ในถุงพลาสติกสีดำขนาด 18x24 นิ้ว ต้นกล้าจะมีอายุระหว่าง 14 x 20 เดือน ทั้งนี้
เพื่อให้ต้นกล้า
ที่นำไปปลูกซ่อมมีขนาดทัดเทียมกับต้นกล้าในแปลงปลูกจริง การปลูกซ่อมแบ่งออกเป็นระยะ คือ
-
ปลูกซ่อมหลังจากปลูกในแปลประมาณ 1- 2 เดือน
เป็นการปลูกซ่อมเนื่องจากการกระทบกระเทือนตอนขนย้ายปลูกหรือเกิดจากความแห้งแล้งหลังปลูกอย่างรุนแรง
-
ปลูกซ่อมหลังจากการย้ายปลูก 6 - 8 เดือน
ไม่ควรเกิน 1 ปี
เป็นการปลูกซ่อมต้นกล้าที่มีลักษณะผิดปกติ
เช่น ต้นมีลักษณะทรงสูง โตเร็วผิดปกติ
ซึ่งเป็นลักษณะของต้นตัวผู้
- การใส่ปุ๋ย
เนื่องจากปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้นที่ปลูกง่าย
เจริญเติบโตเร็วและให้ผลผลิตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับพืชน้ำมันชนิดอื่นๆ
ดังนั้นจึงต้องการธาตุอาหารและน้ำในปริมาณมากเพื่อเลี้ยงส่วนต่างๆของลำต้น ใบ
และผลิต
การจัดการปุ๋ยที่ถูกต้องเหมาะสมจึงเป็นการเพิ่มผลผลิตเพื่อนำไปสู่เป้าหมายของการเกษตรกร
คือ กำไรสูงสุด
การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันในระยะต่างๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในดินเดิม ชนิดของปุ๋ย
อัตราใส่ปุ๋ย และราคาปุ๋ย สำหรับอาการขาดธาตุอาหาร ที่สังเกตได้ด้วยตาเปล่า ก็เป็นข้อพิจารณาอย่างหนึ่งสำหรับการใส่ปุ๋ย
1. ใส่ในช่วงที่ปาล์มน้ำมันต้องการ
2. ใส่บริเวณที่รากปาล์มน้ำมันดูดไปใช้มากที่สุด
ควรใส่ปุ๋ยเมื่อดินมีความชื้นเพียงพอ
หลีกเลี่ยงการใส่เมื่อแล้งจัดหรือฝนตกหนัก
ในปีแรกหลังจากปลูกควรใส่ปุ๋ย 4 – 5 ครั้ง ตั้งแต่ปีที่2 เป็นต้น ควรใส่ปุ๋ย
3 ครั้ง /ปี ช่วงที่เหมาะสมในการใส่ปุ๋ยคือ ต้นฝน
กลางฝน และปลายฝน ตั้งแต่ปีที่
5 ขึ้นไป อาจพิจารณาใส่ปุ๋ยเพียงปีละ 2
ครั้ง ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม
การแบ่งใส่ปุ๋ย ( อัตราที่แนะนำ )
เมื่อแบ่งใส่ 3 ครั้ง/ปี
แนะนำให้ใช้สัดส่วน 50
: 25 :
25 ใส่ต้นฝน
กลางฝน และปลายฝน ดังนี้
ช่วงต้นฝน คือ ประมาณเดือนพฤษภาคม -
มิถุนายน
ช่วงกลางฝน คือ ประมาณเดือนกรกฎาคม -
กันยายน
ช่วงปลาย คือ ประมาณเดือนตุลาคม -
พฤศจิกายน
เมื่อแบ่งใส่ 2
ครั้ง/ปี ใช้สัดส่วน 60
: 40 ใส่ต้นฝน
และปลายฝน ตามลำดับ
การใส่ปุ๋ยและบริเวณที่ใส่ปุ๋ย
ซึ่งเหมาะสมสำหรับปาล์มน้ำมันอายุต่างๆเป็นดังนี้
|
อายุปาล์ม
|
ปุ๋ยN,K และ Mg
|
ปุ๋ย P
|
|
1-4
ปี
|
ใส่บริเวณรอบโคนต้น
ที่กำจัดวัชพืชแล้ว
|
ใส่บริเวณรอบโคนต้นที่
กำจัดวัชพืชแล้ว
|
|
5-9 ปี
|
ใส่บริเวณรอบโคนต้น
ห่างจากโคนต้น
50 ชม.
ถึงบริเวณปลายทางใบ
|
ใส่บริเวณรอบโคนต้นห่าง
จากโคนต้น
ถึงบริเวณปลายทางใบ
|
|
10 ปีขึ้นไป
|
หว่านบริเวณระหว่าง
แถวปาล์มน้ำมัน หรือบน
กองทางใบที่ถูกตัดแต่ง
ที่ได้กำจัดวัชพืชแล้ว
|
หว่านบนกองทางใบที่ถูก
ตัดแต่งที่ได้กำจัดวัชพืช
แล้ว
|
หมายเหตุ
ปุ๋ย N ได้แก่
ยูเรียหรือแอมโมเนียซัลเฟต
ปุ๋ย P ได้แก่ ร็อคฟอสเฟต
ปุ๋ย K ได้แก่ โพแทสเซียมคลอไรด์
ปุ๋ย Mg ได้แก่ กีเซอร์ไรด์
ตารางการใส่ปุ๋ยสำหรับปาล์มน้ำมันอายุต่างๆ
|
อายุ
(ปี)
|
เดือนที่ใส่ปุ๋ย
(หลังปลูก)
|
ปุ๋ย (กิโลกรัม/ต้น)
|
||||
|
แอมโมเนียม
ซัลเฟต
|
ร็อคฟอสเฟต
|
โพแทสเซียม
คลอไรด์
|
คีเซอร์ไรท์
|
โบแรกซ์
|
||
|
1 ปี
|
รองก้นหลุม
|
-
|
0.50
|
-
|
-
|
-
|
|
|
1
|
0.1
|
-
|
-
|
-
|
-
|
|
|
3
|
0.2
|
-
|
-
|
0.1
|
-
|
|
|
6
|
0.2
|
-
|
0.1
|
-
|
-
|
|
|
9
|
0.3
|
0.8
|
0.2
|
-
|
0.03
|
|
|
12
|
0.4
|
-
|
0.2
|
-
|
-
|
|
รวมทั้งหมดปีที่ 1
- 1.2 1.3 0.5 0.1 0.03
|
||||||
|
2 ปี
|
15
|
0.5
|
-
|
-
|
0.3
|
-
|
|
|
16
|
0.5
|
1.5
|
0.5
|
-
|
0.06
|
|
|
21
|
1.0
|
-
|
1.0
|
0.3
|
-
|
|
|
24
|
1.5
|
1.5
|
1.0
|
-
|
-
|
|
รวมทั้งหมดปีที่ 2 - 3.5 3.0 2.5 0.6 0.06
|
||||||
|
3 ปี
|
27
|
1.5
|
-
|
1.0
|
0.5
|
-
|
|
|
31
|
1.5
|
1.5
|
1.0
|
-
|
0.09
|
|
|
36
|
2.0
|
1.5
|
1.0
|
0.5
|
-
|
|
รวมทั้งหมดปีที่3 - 5.0 3.0 3.0 1.0 0.09
|
||||||
|
4 ปี
|
40
|
2.5
|
1.5
|
1.5
|
0.5
|
0.10
|
|
|
46
|
2.5
|
1.5
|
1.5
|
0.5
|
-
|
|
รวมทั้งหมดปีที่ 4 40 2.5 1.5 1.5 0.5 0.10
|
||||||
|
5 ปี
|
52
|
2.5
|
1.5
|
1.5
|
0.5
|
0.10
|
|
|
56
|
2.5
|
1.5
|
2.0
|
0.5
|
-
|
|
รวมทั้งหมดปีที่5 - 5.0 3.0 4.0 1.0 0.10
|
||||||
|
6 ปี
|
ครั้งที่
1
|
2.5
|
1.5
|
2.0
|
0.5
|
0.10
|
|
|
ครั้งที่ 2
|
2.5
|
1.5
|
2.0
|
0.5
|
-
|
|
รวมทั้งหมดปีที่6 - 5.0 3.0 4.0 1.0 0.10
|
||||||
|
ขึ้นไป
|
||||||
- การปลูกพืชคลุมดิน
เพื่อป้องกันและควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืช รวมถึงการชะล้างพังทลายของดิน
ช่วยปรับโครงสร้างของดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน
เกษตรกรนิยมปลูกพืชคลุมดินในสวนปาล์มน้ำมันกันมาก เพราะไม่ต้องใช้แรงงาน
และเวลาในการดูแลรักษาพืชคลุมดินมากเหมือนการปลูกพืชแซมแต่ถ้าขาดการดูแลรักษาที่ดีก็อาจเกิดโทษได้เช่นกัน
พืชตระกูลถั่วที่ปลูกเป็นพืชคลุมในสวนปาล์ม ควรใช้อัตราส่วนประมาณ 1
กิโลกรัม/ไร่ ดังนี้
- ถั่วคาโลโปโกเนียม : ถั่วเพอราเรีย
: ถั่วเซนโตรซีมา
อัตรา 1:1:1
- ถั่วเพอราเรีย :
ถั่วเซนโตรซีมา :
อัตรา 2:3
ทะลายปาล์มเปล่าเป็นวัสดุเหลือที่มีปริมาณมาก และมีธาตุอาหารที่มีประโยชน์
สามารถใช้เป็นปุ๋ยหรือตัวปรับสภาพดินได้โดยใช้ทะลายปาล์มเปล่าเป็นวัสดุคลุมดิน เพื่อป้องกันการชะหน้าดินช่วยลดการสูญเสียความชื้นจากหน้าดินและใช้เป็นสารอาหารแก่พืช
แต่ประโยชน์จะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับชนิดของดิน และสภาวะของความชื้นสัมพัทธ์ของบริเวณนั้นด้วย
สามารถใช้ทะลายเปล่าที่นำมาจากโรงงานโดยนำมากองทิ้งไว้ประมาณ 1
เดือน
แล้วจึงนำไปวางการะจายรอบโคนต้น
ในอัตรา 150 - 225 กิโลกรัม/ต้น/ปี รวมกับปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟต 2 – 5 กิโลกรัม/ต้น/ปี ร็อคฟอสเฟต
0.7 กิโลกรัม/ต้น/ปี
และโพแทสเซียมคลอไรด์ 1.5
กิโลกรัม/ต้น/ปี
- การให้น้ำ
ในสภาพพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 1,800 มิลลิเมตร/ปี และมีฤดูแล้งยาวนาน 3- 5 เดือน ควรมีการให้น้ำเสริมเพื่อเพิ่มผลผลิตทะลายให้สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงเงินทุนด้วย สำหรับการติดตั้งระบบน้ำควรพิจารณา ดังนี้
- พื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ มีแหล่งน้ำเพียงพอ ควรติดตั้งระบบน้ำแบบหยด ( Drip Irrigation)
- พื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมากเกินพอ ควรติดตั้งระบบน้ำแบบโปรยน้ำ (Mini Sprinkler)
- อาการขาดธาตุอาหาร
อาการผิดปกติจากการขาดธาตุอาหารมักจะแสดงออกให้เห็นเมื่อพืชขาดธาตุอาหารในขั้นรุนแรง
และผลผลิตอาจจะลดลงแล้วด้วยซึ่งอาการขาดธาตุอาหารต่างๆ สามารถมองเห็นได้โดยสายตา และสังเกตได้ดังนี้
ลักษณะอาการใบมีสีเหลืองซีดเกิดที่ทางใบแก่ก่อน แก้ไขโดยใช้ปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟต อัตรา 1
- 2 กิโลกรัม/ต้น
สำหรับต้นปาล์มที่มีอายุ 1 – 2 ปี และอัตรา 3 -
4 กิโลกรัม/ต้น สำหรับต้นปาล์มที่มีอายุ 5 - 10
ปี
ขาดธาตุอาหารฟอสฟอรัส (P)
ลักษณะอาการ จะชะงักการเจริญเติบโต ใบมีสีเขียวเข้มแก้ไขโดยใส่ปุ๋ยร็อคฟอสเฟต อัตรา 1.25
- 1.5 กิโลกรัม/ต้น
ขาดธาตุอาหารโพแทสเซียม (K)
ลักษณะอาการ จะมีจุดสีเหลืองส้มเป็นจ้ำๆ บริเวณทางใบตอนล่างขนาดเล็กไปหาใหญ่ รูปร่างไม่แน่นอน เมื่อมีมากๆเนื้อใบส่วนที่มีสีเหลืองจะแห้งและอาจเกิดเฉพาะต้นแทนที่จะเป็นบริเวณกว้างอาจเข้าใจผิดว่าเกิดเนื่องมาจากพันธุกรรม
ลักษณะเด่นชัดในปาล์มน้ำมันที่ขาดธาตุโพแทสเซียม คือ ทางใบล่างซีดและแห้งก่อนกำหนด
ขาดธาตุอาหารแมกซีเซียม (Mg)
ลักษณะอาการ ทางใบล่างจะมีสีเหลืองเริ่มจากปลายใบและขอบใบย่อย
บริเวณที่มีสีเหลืองจะเห็นชัดเจนเมื่อถูกแสงแดดส่วนที่ไม่ถูกแสงแดด
จะยังมีสีเขียว
อาการขาดแมกนีเซียมมักพบมาในดินที่มีแมกนีเซียมต่ำและมีความเป็นกรดจัด
ในบางกรณีเกิดจากธาตุอาหารในดินไม่สมดุลระหว่าง แมกนีเซียมกับโพแทสเซียม หรือแม็กนีเซียม กับแคลเซียม ทำให้พืชไม่สามารถ ดูดแมกนีเซียมไปใช้ได้ดีเท่าที่ควร เช่น
ใส่ปุ๋ยไนโตรเจน
หรือปุ๋ยโพแทสเซียมหรือปุ๋ยที่มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบที่มากเกินไป เป็นต้น
วิธีการแก้ไขสำหรับอาการที่เกิดจุดประสีส้มบนใบที่แก่ หรือรุนแรงจนปลายใบและขอบใบแห้ง ให้ใส่โพแทสเซียมคลอไรด์ อัตรา 2.5
- 3.5 กิโลกรัม / ต้น / ปี สำหรับต้นปาล์มที่ให้ผลผลิตแร้ว ในบางกรณีให้ใส่คีเซอร์ไรท์ 1- 2 กิโลกรัม / ต้น
จะช่วยให้อาการขาดแมกนีเซียมดีขึ้น
การขาดธาตุอาหารโบรอน (B)
ลักษณะอาการ มีลักษณะผิดปกติแดงให้เห็นหลายชนิด เช่น
ปลายใบย่อยหักงอเป็นรูปตะขอ
อาจเกิดเฉพาะทางหรือทุกทางได้ทางใบย่อยสั้นผิดปกติในกรณีที่ขดรุนแรง
หรือเกิดเฉพาะทางหรือทุกทางได้ทางใบย่อยสั้นผิดปกติในกรณีที่ขาดรุนแรง
หรือเกิดแถบยาวใสโปร่งแสงขนานกับแถบทางใบย่อยย่นหรือหยิก แก้ไขโดยใส่โบแรกซ์อัตรา 50 – 100 กรัม/ต้น/ปี เมื่ออายุ 2- 3
ปี และอัตรา 150- 200 กรัม/ต้น/ปี เมื่ออายุ
4 ปีขึ้นไป
- โรคปาล์มน้ำมัน
โรคที่มักจะเกิดขึ้นกับต้นปาล์มน้ำมันที่สำคัญ คือ
1. โรคก้านทางใบบิด (Crown Disease)
สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด
เข้าใจว่าเกิดจากพันธุกรรมหรืออาจเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุอาหาร โดยเฉพาะธาตุโบรอน ไนโตรเจน
และแมกนีเซียม
พบมากกับปาล์มน้ำมันในแปลงปลูกอายุ 1 – 3 ปี เป็นโรคที่พบเสมอ
ลักษณะอาการ เกิดแผลเน่าบริเวณใบยอด
เมื่อยอดเจริญทางยอดคลี่ออกบริเวณที่เคยเป็นแผลเน่าใบย่อยจะแห้งฉีกขาดไปก้านทางบริเวณนี้จะเหลือแต่ตอ ก้านทางส่วนนี้จะหักโค้งลงเมื่อต้นปาล์มน้ำมันสร้างยอดใหม่ก็จะแสดงอาการเช่นนี้ จนบางครั้งทางจะหักล้มโดยไม่แสดงอาการเน่าก่อน
2.
โรคยอดเน่า (Spere Rot)
สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการแยกหาเชื้อ สาเหตุจะพบเชื้อรา
Fusarium sp. และแบคทีเรีย Erwinia sp.
ระบาดมากในช่วงฤดูฝน ส่วนมากจะพบกับปาล์มน้ำมัน อายุ 1 – 3 ปี ในสภาพน้ำขังจะพบโรคนี้มาก
ลักษณะอาการ โคนยอดจะเน่า
ระยะแรกแผลมีสีน้ำตาลต่อมาจะขยายทำให้ใบยอดเน่าแห้งสามารถดึงหลุดออกได้
การป้องกันกำจัด ป้องกันแมลงอย่าให้มากัดกินบริเวณยอดถ้าพบโรคในระยะแรกตัดส่วนที่เป็นโรคออกให้หมด แล้วฉีดพ่นด้วยยาฆ่า เชื้อรา เช่น
ไทแรม อาลีแอท
3. โรคทะลายเน่า (Marasmius Bunch
Rot)
สาเหตุ เชื้อรา (Marasmius sp.)
ลักษณะอาการ
บนทะลายปาล์มน้ำมันก่อนจะสุกจะพบเส้นใยสีขาวของเชื้อขึ้นระหว่างผลและเจริญเข้าไปในผลทำให้เปอร์เซ็นต์กรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้น ผลเน่าเป็นสีน้ำตาลดำมีลักษณะนุ่ม
ถ้ามีสภาพเหมาะสมความชื้นมากเชื้อจะสร้างดอกเห็ดบนทะลายน้ำ
การป้องกันกำจัด
กำจัดทะลายที่แสดงอาการออกให้หมดรวมทั้งช่อดอกตัวเมียที่ผสมไม่ดี เศษซากเกสรตัวผู้ที่แห้ง ตัดส่วนที่เป็นโรคแล้วฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น antigro terzan , หรือ antracol
4. โรคลำต้นส่วนบนเน่า
สาเหตุ รายงานจากต่างประเทศพบว่าเกิดจากเชื้อรา
Philinus sp.ร่วมกับ Ganoderma sp.
ลักษณะอาการ
พบว่าส่วนบนของลำต้นจากยอดประมาณ 0.5 เมตรจะหัก พบครั้งแรกกับต้นอายุ 9
ปี
เมื่อผ่าดูพบว่าเชื้อเข้าทางฐานของก้านทางทำให้เกิดอาการเน่าบริเวณลำต้น ในขณะที่ตาและรากแสดงอาการปกติ
การป้องกันกำจัด
เผาทำลายต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นโรคอย่าเคลื่อนย้ายต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นโรคอย่าเคลื่อนย้ายต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นโรคผ่านไปในแปลงที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ในกรณีที่พบอาการใหม่ๆ
ถากส่วนที่เป็นโรคออกแล้วทาบริเวณแผลด้วยสารป้องกันและกำจัดโรคพืช
- แมลงศัตรูปาล์มน้ำมัน
ด้วงแรด เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญปาล์มน้ำมัน
ในภาคใต้ปัจจุบันมีการโค่นล้มต้นปาล์มอายุมาก และปลูกทดแทนทำให้มีแหล่งขยายพันธุ์ของด้วงแรดมากขึ้น
และเข้าทำลายต้นปาล์มที่ปลูกใหม่ตั้งแต่ต้นปาล์มน้ำมันขนาดเล็กจนถึงปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิต การเกิดวาตภัย เช่น พายุ
ทำให้ต้นมะพร้าวและปาล์มน้ำมันล้มตาย
ก็เป็นแหล่งขยายพันธุ์ของด้วงแรดในเวลาต่อมา
แหล่งขยายพันธุ์ด้วงแรด แหล่งขยายพันธุ์ด้วงแรดได้แก่ ซากเน่าเปื่อยของลำต้น หรือตอของต้นปาล์มน้ำมัน ซากทะลายปาล์ม กองมูลสัตว์เก่า กองปุ๋ยคอก
กองขุยมะพร้าว
กองกากเมล็ดกาแฟ กองขยะ เป็นต้น
โดยวิธีเขตกรรม กำจัดแหล่งขยายพันธุ์โดย
1. เผาหรือฝังซากลำต้นหรือตอของปาล์มน้ำมัน
2. เกลี่ยกองซากพืช
กองมูลสัตว์ ให้กระจายออก โดยมีความสูงไม่เกิน 15 เซนติเมตร
3. ถ้ามีความจำเป็นต้องกองซากพืชหรือมูลนานเกิน 2
- 3 เดือน ควรหมั่นพลิกกลับกอง เพื่อตรวจหาไข่หนอน ดักแด้
ตัวเต็มวัยเพื่อกำจัดเสีย
โดยวิธีกล
หมั่นทำความสะอาดบริเวณคอต้นปาล์มตามโคนทางใบหากพบรอยแผลเป็นใช้เหล็กแทงด้วงแรดเพื่อกำจัด และใส่สารฆ่าแมลงป้องกันด้วงเข้ามาวางไข่
โดยชีววิธี
ในธรรมชาติจะมีเชื้อราเขียวและเชื้อไวรัสช่วยทำลายหนอนด้วงแรด โดยผสมซากเน่าเปื่อยของพืช ขี้วัว
ขุยมะพร้าว กากกาแฟ และขี้เลื่อย
ผสมคลุกกัน ผสมคลุกกันเพื่อให้ด้วงแรดมาวางไข่ และขยายพันธุ์
จนถูกเชื้อราเข้าทำลายและตายในที่สุด
ด้วงกุหลาบ
เป็นศัตรูสำคัญชนิดหนึ่งของต้นปาล์มน้ำมันขนาดเล็กซึ่งย้ายไปปลูกในแปลงใหญ่ โดยด้วงจะกัดกินใบในช่วงเวลากลางคืน ถ้ารุนแรงจะทำให้ใบปาล์มน้ำมันโกร๋น ชะงักการเจริญเติบโตจะพบมากในช่วงเดือน
กุมภาพันธุ์
– เมษายน
การป้องกันกำจัด
ใช้สารฆ่าแมลงประเภท CarbaryI
(Sevin85%) WP อัตรา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
หรือ Carbasulgan (Posse 20% EC) อัตรา 40 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 7 – 10 วัน
- สัตว์ศัตรูปาล์มน้ำมัน
สัตว์ที่ทำความเสียหายให้กับปาล์มน้ำมัน
ส่วนมากเป็นสัตว์ที่มีถิ่นอาศัยในป่าธรรมชาติมาก่อน สัตว์ที่เป็นศัตรูปาล์มน้ำมัน และที่พบมาก
เช่น หนูพุกใหญ่ หนูท้องข้าว
เม่น กระแตธรรมดา นกเอี้ยง
นกขุนทอง หมูป่าและอีเห็น
การป้องกันกำจัด
โดยไม่ใช้สารเคมี
- การล้อมรั้วปาล์มน้ำมันที่มีอายุ 1– 3 ปี ควรล้อมห่างโคนต้นประมาณ
15 เซนติเมตร
โดยใช้เสาไม้ไผ่ 4 เสาปักเป็นหลัก ยึดรั้วตาข่ายให้มั่นคง ความสูงของรั้ว - การล้อมตี ใช้คนหลายคนช่วยกัน วิธีนี้ช่วยลดปริมาณหนูลงระยะหนึ่ง ถ้าจะให้ได้ผลดีจะต้องทำบ่อยๆครั้ง ข้อเสียคือ เปลืองแรงงานและเวลามาก
- การดัก เช่น กรงกัด หรือเครื่องมือดักหนู จะให้ผลดีในเนื้อทีจำกัด เหยื่อดัก
ควรคำนึงว่าสัตว์ชนิดที่ต้องการดัก
มีความคุ้นเคยหรือต้องการอาหาร
ชนิดใดมีมากน้อยเพียงใด
- การเขตกรรม โดยหมั่นถางหญ้าบริเวณโคนต้นปาล์มอย่าให้มีหญ้าขึ้นรกเพราะเป็นที่หลบอาศัยที่ดีของสัตว์ศัตรูปาล์มน้ำมัน
- การยิง ใช้ในกรณีสัตว์ศัตรูปาล์มเป็นสัตว์ใหญ่ เช่น หมูป่า เม่น ช้างป่า
- การอนุรักษ์สัตว์ศัตรูธรรมชาติ เช่น งู พังพอน เหยี่ยว นกเค้าแมว
นกแสก ควรสงวนไว้ให้สมดุลกับธรรมชาติ
การเก็บเกี่ยวและการขนย้าย
การเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มสดเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญที่สุดในการเพิ่มผลผลิตน้ำมันปาล์มต่อไร่ เจ้าของสวนปาล์มต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตทะลายปาล์มสดที่สุกพอดีส่งเข้าโรงงานเพื่อให้ได้น้ำมันปาล์มทั้งปริมาณและคุณภาพ สูงสุดต่อไร่
จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานการเก็บเกี่ยวเพื่อนำไปปฏิบัติ
ดังนี้
1. เก็บเกี่ยวทะลายปาล์มสดในระยะที่สุกพอดี
คือ ระยะที่ผลปาล์มมีสีผิวเปลือกเป็นสีส้มสดและเริ่มมีผลร่วงหล่นจากทะลายปาล์มร่วงที่โคนต้นไม่น้อยกว่า
2. รอบของการเก็บเกี่ยวในช่วงผลปาล์มออกชุกควรจะอยู่ในช่วง 7- 10 วัน
ควรเก็บเกี่ยว 14 – 21 วันต่อรอบ
4. ผลปาล์มลูกร่วงที่อยู่บริเวณโคน
ปาล์มน้ำมัน และที่ค้างในกาบต้น
ควร เก็บออกมาให้หมด
5. ก้านทะลายควรตัดให้สั้นโดยต้อง
ให้ติดกับทะลาย
6. พยายามให้ทะลายปาล์มช้ำน้อยที่สุด
- อุปกรณ์เก็บเกี่ยว
2. ต้นปาล์มน้ำมันอายุ 8 - 9 ขอแนะนำให้ใช้เสียมด้ามเหล็กที่มี
ขนาดหน้ากว้าง4.5นิ้ว และมีความยาวด้ามเสียม
ประมาณ 2.00 - 3.00 เมตร ตัดทะลายปาล์มจากต้น
3.
ต้นปาล์มน้ำมันสูงมากกว่า 4
เมตร ขึ้นไป การเก็บเกี่ยวด้วยเสียมจะทำได้ยาก
จำเป็นต้องใช้เคียวด้ามยาวตัดทะลายปาล์มจากต้น วัสดุที่ใช้ทำด้ามเคียว
คือ
ไม้ไผ่หรืออาจใช้อลูมิเนียมซึ่งมีน้ำหนักเบาแต่ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานยังไม่ดีเท่าไม้ไผ่ แต่มีความคงทนมากกว่า
4. ทะลายผลปาล์มสดที่ใช้เสียมหรือเคียวตัดลงมาจากต้น ถ้ามีก้านยาว ควรใช้ขวานตัดให้สั้นไม่เกิน 2 นิ้ว
- การขนย้าย
การรวบรวมผลปาล์มสด
ส่งขายก็มีความสำคัญเช่นกัน ควรพิจารณา
ดังนี้
1.
ต้องแต่งช่องทางลำเลียงระหว่างแถวปาล์มในแต่ละแปลงให้สะดวกในการลำเลียงและตรวจสอบทะลายปาล์มที่ตัดแล้ว เพื่อรวบรวมต่อไป
2. รวบรวมผลปาล์มน้ำมันที่เป็นทะลายและลูกร่วงให้เป็นกอง
ในที่ว่างโคนต้นควรเก็บผลปาล์มร่วงใส่ภาชนะ เช่น
ตะกร้า เข่งหรือกระสอบ
3. การเก็บรวบรวมผลปาล์ม ควรลดจำนวนครั้งในการถ่ายเทย่อยเพื่อลดการชอกช้ำและบาดแผลของผลปาล์ม
4. ทำความสะอาดผลปาล์มที่เปื้อนดิน หรือเศษหินดินทราย ไม้และกาบหุ้มทะลายออกก่อน
5. ต้องรีบส่งผลปาล์มไปยังโรงงานภายใน
24 ชั่วโมง
สรุป
ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ
สามารถเจริญเติบโตได้ดีในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ความต้องการใช้ปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามอัตราการเพิ่มของประชากรและการพัฒนาประเทศ
การเพิ่มปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มให้มากขึ้นสามารถทำได้โดยการเพิ่มพื้นที่ปลูกและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น แต่การเพิ่มพื้นที่ปลูก มีข้อจำกัดหลายประการ ฉะนั้นการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้นจึงมีความสำคัญยิ่งเกษตรกรควรมีเทคนิคในการเพิ่มประสิทธิภาพผลิตปาล์มน้ำมันด้วย ดังนี้
1. การเลือกพื้นที่
ต้องพิจารณาถึงสภาพภูมิอากาศ
สภาพพื้นที่ ลักษณะดิน และการขนส่ง
2. พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ส่งเสริมให้ปลูกเป็นการค้าในปัจจุบันคือพันธุ์เทเนอร่า
3. การปลูก
ควรมีการเตรียมพื้นที่ให้เหมาะสม
และปลูกอย่างถูกวิธีในต้นฤดูฝน
เพื่อให้ปาล์ม
น้ำมันเจริญเติบโตได้ดี
4. การใส่ปุ๋ย
เพื่อให้ต้นปาล์มน้ำมันได้รับปุ๋ยเคมีในปริมาณและชนิดของธาตุอาหารที่เพียงพอในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต การจัดการปุ๋ยที่ถูกต้องเหมาะสมจะเป็นการเพิ่มผลผลิตเพื่อนำไปสู่เป้าหมายของเกษตรกร คือ
กำไรสูงสุด
5.
การปลูกพืชคลุมและการใช้ทะลายเปล่าคลุมโคนต้นเป็นการป้องกันการชะล้างหน้าดิน ช่วยลดการสูญเสียความชื้นจากหน้าดิน และให้สารอาหารแก่พืช
6.
การให้น้ำในสภาพพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 1,800 มม./ปี และมีฤดูแล้งยาวนาน
3 – 5 เดือน
ควรมีการให้น้ำเสริมเพื่อเพิ่มผลผลิตทะลายให้สูงขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงเงินทุนด้วย
7.การเก็บเกี่ยวและขนย้าย
เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก
ควรเก็บเกี่ยว ทะลายปาล์มในระยะที่สุกพอดี ไม่ควรตัดผลปาล์มดิบไปขายและต้องเก็บผลปาล์มร่วงบนพื้นให้หมด ทำความสะอาดผลปาล์มที่เปื้อนดิน อย่าให้มีเศษหินและดินปน และต้องรีบส่งผลปาล์มไปยังโรงงานภายใน 24
ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง
ศักดิ์ศิลป์ โชติสกุล , พัฑฒิดา กุฎีรัตน์ : การปลูกปาล์มน้ำมัน เอกสารเผยแพ่ 29 หน้า
อธิปัตย์ ปาล์มน้ำมันอีสาน
จำหน่ายต้นกล้าปาล์มน้ำมันพันธุ์คุณภาพ ควบคุมเมล็ดพันธุ์โดยกรมวิชาการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และบริการให้คำปรึกษาวิธีการปลูก และการดูแลรักษาหลังการปลูก
ติดต่อสอบถาม โทร. 084-4288760 ( AIS ) ,087-4514654 ( DTAC )
|







+of+IMG_0004.jpg)






+of+IMG_0004.jpg)





